วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

WINE้


Wine (ไวน์)

เรียกได้ว่าเป็นเครื่องดื่มบริสุทธิ์อย่างแท้จริงเพราะใช้องุ่นเป็นวัตถุดิบเดียวในการผลิต โดยไม่มีการใส่ส่วนผสมเติมแต่งอะไรเลย ดังนั้นรสชาติที่ได้จึงมาจากองุ่นล้วน ๆ โดยไวน์จากแต่ละที่ก็จะมีรสชาติแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดิน และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตขององุ่น และการหมักของไวน์ นอกจากนี้ในการปลูกไวน์หากดินมีความอุดมสมบูรณ์มากจะทำให้ไวน์มีรสชาติที่อ่อนกว่าดินที่มีความอุดมณ์สมบูรณ์น้อย เพราะในดินที่มีความ
อุดมณ์สมบูรณ์น้อยต้นองุ่นจะต้องดิ้นรนในการหาแร่ธาตุมาเลี้ยงลำต้น จึงทำใหิได้รสชาติไวน์ที่ดีกว่านั่นเอง

ไวน์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกมีชื่อว่า “Domaine de la Romanee-Conti หรือ Romanee-Conti Grand Cru” ซึ่งเป็นไวน์ชั้นดีจากเมืองเบอร์กันดี ประเทศ ฝรั่งเศสนั่นเอง โดยมีราคาสูงถึง 15,702 ยูโร หรือ 611,699 บาทเลยทีเดียว

วิธีดื่ม wine

การหมุนไวน์ แล้วดมนอกจากจะทำให้ดูโปรแล้ว ยังทำให้เราลิ้มรlชาติของไวน์ได้ดีขึ้นอีกต่างหาก ซึ่งการหมุนไวน์นั้นเป็นการทำให้อากาศเข้าไปเพื่อทำให้โมเลกุลที่เกาะกันใหญ่ ๆ แตกตัวออกมา ทำให้มีกลิ่นออกมามากยิ่งขึ้น และไวน์คลายตัวมากขึ้น ก่อนจะสูดรับกลิ่นให้เต็มที่ แล้วค่อยลิ้มรสชาติ ซึ่งการดูสีของไวน์ไม่จำเป็นต้องหมุน แค่เอียงแก้วก็สามารถรับรู้ได้


รสชาติของไวน์นั้นแบ่งไปตามพันธุ์ขององุ่น เชื่อว่าทุกคนสามารถแยกไวน์แต่ละชนิดด้วยตาเปล่าได้อยู่แล้ว เพราะแค่ดูสีก็สามารถแยกได้แล้วว่าขวดไหนไวน์แดง (Red Wine) ขวดไหนไวน์ขาว (White Wine) หรือขวดไหนไวน์โรเซ่ (Rose Wine) แต่ลึกลงไปแล้วไวน์แต่ละประเภท ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันอย่างไปบ้าง เช่น

1.ไวน์ขาว (White Wine)



บางคนอาจเข้าใจ ว่า ไวน์ขาว (White Wine) ทำมาจากองุ่นเขียวเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วก็สามารถใช้องุ่นแดง หรือองุ่นดำ ในการผลิตไวน์ขาวได้เช่นกัน ปกติ ไวน์ขาวจะมีรสชาติเด่น ๆ ได้แก่ รสเปรี้ยวหวาน สดชื่น หรือครีมมี่ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิตที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง


2.ไวน์แดง (Red Wine)





สาเหตุที่ทำให้ไวน์แดง (Red Wine) มีสีแดง เป็นเพราะมีการเติมเปลือกองุ่น, ขั้วองุ่น รวมถึงเมล็ดในการหมัก ซึ่งต่างจากไวน์ขาว (White Wine) นอกจากนี้ ไวน์แดงยังถูกหมักในอุณหภูมิที่สูงกว่า เพื่อที่จะสกัดเอาสีและ ดึงเอาความฝาด, กลิ่น ที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา ทำให้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามระยะเวลาการหมัก

3.ไวน์โรเซ่ (Rose Wine)





ไวน์โรเซ่ จะผลิตขึ้นจากองุ่นแดง องุ่นดำ หรือองุ่นเขียวก็ได้ และในกระบวนการหมัก จะใช้เปลือกองุ่นแดงหรือส่วนอื่นๆ บ่มเพียงช่วงสั้นๆ เพื่อที่จะให้ได้สีชมพูของดอกกุหลาบตามต้องการ นอกจากนี้ยังมีการผลิตที่เป็นการนำไวน์แดง (Red Wine) และไวน์ขาว (White Wine) มาผสม (Blended) เข้าด้วยกัน โดยปกติจะมีรสชาติที่หลากหลาย ตั้งแต่ดราย (Dry) ไปจนถึงหวาน (Sweet)

4.ไวน์หวาน (Dessert Wine)





สำหรับไวน์หวาน ส่วนใหญ่จะนิยมเสิร์ฟเพื่อดื่มคู่กับของหวาน แต่ในบางประเทศอย่าง ประเทศอังกฤษ มักดื่มไวน์ขาวหวาน เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนมื้ออาหารและดื่มไวน์แดงหวาน เพื่อล้างปากหลังมื้ออาหาร โดยไวน์หวาน (Dessert Wine) ยังถูกแยกย่อยออกไปเป็น พอร์ท (Port)หรือเชอร์รี่ (Sherry) แยกย่อยลงไปได้อีกตามกรรมวิธีการผลิต

5.สปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine)


สปาร์คกลิ้งไวน์ จะมีสไตล์ที่ชัดเจน จากรสสมผัสซ่าของฟอง (Bubble) ที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในกระบวนการหมัก หรือถูกเติมเข้าไประหว่างการหมัก ซึ่งชื่อเรียกของสปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine)สามารถแยกย่อยลงไปได้อีก ตามพื้นที่ หรือแหล่งที่ผลิต เช่น ผลิตจากแคว้นชองปาญ ประเทศฝรั่งเศส (France) จะเรียกกว่า แชมเปญ (Champagne) แต่หลายคนมักเข้าใจผิดว่า เรียก สปาร์คกลิ้งไวน์ทั้งหมดว่าแชมเปญ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น