วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

เหล้า shot ปราบเซียน


สาวๆ เคยเป็นกันมั้ยคะ เวลาเจอเมนูค็อกเทล (Cocktail) หรือก็คือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสมหลัก รวมกับสารพัดอย่างทั้งน้ำผลไม้ น้ำอัดลม ฯลฯ แล้วเกิดอึกอัก ไม่รู้จะสั่งยังไง สั่งแบบนี้ไป จะได้อะไรแบบไหนกลับมา ถ้าไม่อยากต้องนั่งลุ้น เราจะชวนสาวๆ ไปทำความรู้จักค็อกเทลแต่ละชนิดคร่าวๆ เอาแบบที่ได้ยินคนโน้นคนนี้สั่งอยู่บ่อยๆ ไปปาร์ตี้คราวหน้าจะได้สั่งกันแบบมั่นใจไปเลย



Martini


คลาสสิกค็อกเทลตลอดกาลของหนุ่มๆ ทั้งหลาย ค่อนข้างแรงเพราะส่วนผสมมีเพียงเหล้า 2 ชนิดคือยินและดรายเวอร์มุธ (Dry Vermouth) หรือเหล้าจากสมุนไพร เสิร์ฟโดยแช่มะกอกลงไปในแก้วเพื่อตัดความแรงของเหล้า มีหลายสูตรแบบเข้มมากเข้มน้อย อย่าง Dirty Martini ที่ต้องเชคทุกอย่างรวมกันจนรสเข้ม Dry Martini ที่ต้องกรองก่อนเสิร์ฟ หรือ Vodka Martini, Rum Martini ไม่ว่าสูตรไหนก็เหมาะกับสาวคอแข็งเท่านั้น



Old Fashioned




หนึ่งในค็อกเทลที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกา ว่ากันว่าโอลด์แฟชั่นเป็นค็อกเทลที่จะอร่อยหรือไม่นั้นอยู่ที่เทคนิคกระบวนการผสมของบาร์เทนเดอร์ ส่วนผสมก็มีน้ำตาล เหล้าบิตเตอร์ น้ำแข็ง เหล้าเบอร์เบิ้น เสิร์ฟในแก้วทรงกลมเตี้ย ปิดท้ายด้วยส้มฝานเป็นแว่นนำมาบดหยาบๆ เพื่อดึงกลิ่นออกมา เรียกว่าทั้งอร่อยทั้งหอม



Black Russian






สูตรนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1949 ณ บาร์ในกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม แต่ที่ได้ชื่อเป็นรัสเซียนคงเพราะส่วนผสมหลักอย่างวอดก้า สัญลักษณ์ของรัสเซีย สูตรนี้ง่ายๆ แค่แก้วใส่น้ำแข็ง ใส่ส่วนผสมแบบ 5:2 ระหว่างวอดก้าและ Coffee liqueur หรือเหล้าหวานที่ได้จากกาแฟซึ่งให้กลิ่นกาแฟหอมๆ คนให้เข้ากันแค่นั้นเป็นอันเสร็จ และถ้านำสูตรนี้เพิ่มครีมหรือนมเข้าไปหน่อยก็จะได้เป็น White Russian นั่นเอง



Pink Lady





ชื่อหวาน แถมรสชาติก็นุ่มสมชื่อ พิงค์เลดี้เป็นค็อกเทลดื่มง่าย หวานอมเปรี้ยวกำลังดี มียินเป็นส่วนผสมหลัก น้ำเชื่อมกลิ่นทับทิม เหล้าหวานจากผิวส้ม และน้ำมะนาว (สูตรดั้งเดิมใส่ไข่ขาวด้วย แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีแล้ว) บางสูตรอาจมีครีมหรือนมเพิ่มเข้าไปด้วย เชคให้ส่วนผสมเข้ากัน รินใส่แก้วแล้วปิดท้ายด้วยมะนาวสไลด์ ลูกเชอร์รี่ก็พร้อมดื่มแล้ว



Margarita




ค็อกเทลสุดคลาสสิกจากเม็กซิโกตั้งแต่ปี 1942 มาร์การิต้าโดดเด่นด้วยการตกแต่งที่ใช้เกลือทาไว้รอบปากแก้ว ตัวค็อกเทลมีรสเปรี้ยวนำเพราะมีส่วนผสมของน้ำมะนาวสด และเหล้าที่ทำจากผิวส้ม รวมเข้ากับเตกีล่า จนถึงทุกวันนี้มาร์การิต้ามีให้เลือกหลากสีสัน หลายรสชาติตามแต่น้ำผลไม้ที่ใช้เป็นส่วนผสม อาทิ ส้ม ราสป์เบอร์รี่ สับปะรด แตงโม ฯลฯ

แอลกอฮอล์ สุรา

ประเภทและชนิดของสุรา

การแบ่งประเภทของสุราสามารถแบ่งได้ตามกรรมวิธีการผลิตได้หลายแบบ แต่โดยหลักแล้วจะทำการแบ่งออกมาได้ 2 แบบ ซึ้งแต่ละแบบ จะแยกย่อยอกมาได้อีกหลายชนิดคือ

1.สุราแช่ หรือหมัก (Fermented beverages) ซึ่งแบ่งออกเป็นชนิด Malt beverages ที่ได้จากการหมักผลิตผลทาง การเกษตร เช่น ธัญพืช หรือผลไม้ต่างๆ เช่น เบียร์ ไวน์ สาเกเป็นต้น

2.สุรากลั่น (Distilled หรือ Spirit beverages) ที่ได้จากการนำสุราแช่ที่ผลิตจากธัญพืช รากพืช ผลผลิตจากน้ำตาล หรือผลไม้ แล้วนำมากลั่น  เช่น วิสกี้ (Whisky) , วอดก้า (Vodka) , รัม (Rum) , บรั่นดี (Brandy), เตกิลา (Tequila

ส่วนชนิดของเหล้าที่เกิดจากรกรรมวิธีในการกลั่น สามารถแยกออกมาได้อีกมามาย แต่หลักๆที่นักดื่มจะนิยมและรู้จักกันดีมีดังนี้
 

คอนยัค (Cognac)




 ซึ่งเป็นบรั่นดีที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก  ซึ่งต้องผลิตจากองุ่นพันธุ์แซง เอมีลียง (Saint-Émilion) ที่ปลูกในแคว้นคอนยัค ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งรวมถึงกระบวนการผลิตก็จะต้องผลิตในคอนยัคเช่นเดียวกัน  คอนยัคบางชนิดจะผ่านการบ่มอันยาวนานถึง 15-25 ปีเลยทีเดียว และจากการบ่มอันยาวนานนี้จะทำให้คอนยัคชนิดนี้มีความจรุงทั้งกลิ่นและรส รวมถึงมีแทนนิน (tannin) สูงที่ได้ไม้โอ๊ค คอนยัคชนิดนี้ยังมีชื่ออื่นๆ อีกเช่น XO (extra old) Extra Vielle Grand Reserve เป็นต้น


blend 285 (เบลนด์ 285)





สุราผสมที่มีกรรมวิธีการผลิตแบบ เบลนเด็ด สกอตช์วิสกี้ โดยมีมอลท์วิสกี้คุณภาพนำเข้าจากประเทศสกอตแลนด์เป็นส่วนผสม โดยเป็นสุราที่ผ่านการกลั่น 2 รอบ (Double Distilled) เพื่อได้แอลกอฮอล์บริสุทธิ์คุณภาพดี และผ่านการบ่มในถังไม้โอ๊ค เพื่อรสชาติที่นุ่ม กลมกล่อม หอมกลิ่นควันจางๆ

Red Label 


Red Label หรือในอดีตชื่อ JW Special Old Highland (เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Red Label ใน ปี 1909) เป็นวิสกี้ตระกูล JW ชนิดเดียว ที่ไม่ได้เป็น Scotch Whisky แท้ 100% หากแต่ว่า JW เน้นไปที่รสชาติของวิสกี้ ที่สามารถปรับให้เข้าได้กับทุกสถานการณ์ มีทั้งความหวาน ความนุ่ม และความเผ็ดร้อนในเวลาเดียวกัน Red Label เป็น Blended Whisky ที่ผ่านการผสมมาจาก Malt และ Blended Whisky 35 ชนิด เป็น JW หนึ่งในไม่กี่ชนิด ที่ผลิตออกมาในขนาดที่แตกต่างกันออกไป แต่ทุกขวดจะมีลักษณะเหมือนกัน คือ ขวดทรงสี่เหลี่ยม และฉลากสีแดงขอบทอง สัญลักษณ์เด่นอีกอย่าง คือ ไสตรดิ้งแมน หรือกล่องของ Red Label ที่สามารถนำมาเรียงต่อกันกลายเป็นฉลาก Red Label ขนาดใหญ่ได้ ข้อแนะนำในการดื่ม Red Label สำหรับการดื่ม Red Label นั้น ไม่มีวิธีการดื่มที่แนะนำตายตัวมาจาก JW สามารถดื่มผสมกับอะไรก็ได้ กินเพียวก็ได้ หรือจะนำไปทำค๊อกเทลก็ยังได้ บวกด้วยเรื่องของราคา ทำให้ Red Label เป็นเหล้าที่ขายดี

Black Label 




ป็น Blended Whisky อายุ 12 ปี เป็นวิสกี้ Johnnie Walker ที่เก่าแก่ที่สุด โดยวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 1865 ในชื่อของ Walker’s Old Highland ก่อนจะมาใช้ชื่อ Extra Special Old Highland ในปี 1906-1908 และสุดท้ายในปี 1909 ก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อ Black Label จนถึงทุกวันนี้ ลักษณะเด่นของ Black คือ กลิ่นหอม รมควันถ่านพีท กลิ่นขิงวานิลลา และกลิ่นผลไม้อย่างลูกแพร และแอปเปิ้ล และส่วนผสมจากเกรนและมอลท์ วิสกี้กว่า 40 ชนิด ผสมผสานออกมาเป็น JW Black Label ใน ปัจจุบัน วิธีการดื่ม JW Black Label ที่ดีที่สุด จำกันเอาไว้นะครับ Black จะ ต้องดื่มโดยผสมกับน้ำและน้ำแข็ง เพื่อที่จะทำให้ได้กลิ่นของบุหรี่แห้ง กลิ่นของวานิลลา และกลิ่นของผลไม้ที่จะอบอวลขึ้นมาหลังจากได้สัมผัสกับน้ำ การผสมน้ำจะทำให้ได้รสของวิสกี้ที่ Strong ขึ้น

Blue Label



นี่คือ การผสมผสานของเกรนวิสกี้ และมอลท์วิสกี้ จำนวน 16 ชนิด ที่ต้องบอกว่า แพงที่สุดในโลก เพราะอะไรนั่นหรือ เพราะในจำนวน 16 ชนิดดังกล่าว มีบางชนิดที่ผ่านการหมักบ่มมากว่า 60 ปี และที่สำคัญ ในจำนวนวิสกี้ 1 ล้านถัง ที่ดิอาจิโอทำการผลิตจะมีเพียง 1 หรือ 2 ถัง เท่านั้น ที่นำมาเป็นส่วนผสมของ Blue Label ทุกขวดจะมี หมายเลขกำกับ เพื่อแสดงถึงจำนวนที่ผลิตว่า หาได้ยากยิ่งขนาดไหน Blue ขวดนี้ จะมีจุกขวดที่ทำจากไม้ก๊อก หุ้มตะกั่วสีทอง มีกล่องบรรจุใส่เป็นสีน้ำเงินและทอง บุภายในด้วยผ้าซาตินอย่างดี การดื่ม จำไว้ว่า ใครอยู่ตรวจบัตรได้ดื่ม Blue แล้ว อย่าเอาไปผสมมิกเซอร์ให้คนเขาด่าในใจว่า ไอ้โง่ นะครับ ผมยังด่าในใจเลย เหอะๆๆๆ การดื่มที่ดีที่สุด แน่นอนครับ วิสกี้ระดับนี้ จะต้องเป็นการดื่มแบบจิบวิสกี้ โดยไม่เติมอะไร หรือภาษาบ้านๆ ก็เรียกว่า ดื่มกันเพียวๆ นี่แล่ะครับ เจ้าของ JW บอกมาว่า จะให้ดี ควรจะอมน้ำแข็งให้เกิดความเย็นในปาก เมื่อน้ำแข็งละลายหมด จึงค่อยจิบ Blue เข้าไป จะได้รับรสชาติที่ดีที่สุด แล้วจะได้รู้ว่า วิสกี้ที่ว่ากันว่า ล้ำลึกที่สุดในโลก รสชาติเป็นเช่นใด

 

 

WINE้


Wine (ไวน์)

เรียกได้ว่าเป็นเครื่องดื่มบริสุทธิ์อย่างแท้จริงเพราะใช้องุ่นเป็นวัตถุดิบเดียวในการผลิต โดยไม่มีการใส่ส่วนผสมเติมแต่งอะไรเลย ดังนั้นรสชาติที่ได้จึงมาจากองุ่นล้วน ๆ โดยไวน์จากแต่ละที่ก็จะมีรสชาติแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ดิน และปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตขององุ่น และการหมักของไวน์ นอกจากนี้ในการปลูกไวน์หากดินมีความอุดมสมบูรณ์มากจะทำให้ไวน์มีรสชาติที่อ่อนกว่าดินที่มีความอุดมณ์สมบูรณ์น้อย เพราะในดินที่มีความ
อุดมณ์สมบูรณ์น้อยต้นองุ่นจะต้องดิ้นรนในการหาแร่ธาตุมาเลี้ยงลำต้น จึงทำใหิได้รสชาติไวน์ที่ดีกว่านั่นเอง

ไวน์ที่มีราคาแพงที่สุดในโลกมีชื่อว่า “Domaine de la Romanee-Conti หรือ Romanee-Conti Grand Cru” ซึ่งเป็นไวน์ชั้นดีจากเมืองเบอร์กันดี ประเทศ ฝรั่งเศสนั่นเอง โดยมีราคาสูงถึง 15,702 ยูโร หรือ 611,699 บาทเลยทีเดียว

วิธีดื่ม wine

การหมุนไวน์ แล้วดมนอกจากจะทำให้ดูโปรแล้ว ยังทำให้เราลิ้มรlชาติของไวน์ได้ดีขึ้นอีกต่างหาก ซึ่งการหมุนไวน์นั้นเป็นการทำให้อากาศเข้าไปเพื่อทำให้โมเลกุลที่เกาะกันใหญ่ ๆ แตกตัวออกมา ทำให้มีกลิ่นออกมามากยิ่งขึ้น และไวน์คลายตัวมากขึ้น ก่อนจะสูดรับกลิ่นให้เต็มที่ แล้วค่อยลิ้มรสชาติ ซึ่งการดูสีของไวน์ไม่จำเป็นต้องหมุน แค่เอียงแก้วก็สามารถรับรู้ได้


รสชาติของไวน์นั้นแบ่งไปตามพันธุ์ขององุ่น เชื่อว่าทุกคนสามารถแยกไวน์แต่ละชนิดด้วยตาเปล่าได้อยู่แล้ว เพราะแค่ดูสีก็สามารถแยกได้แล้วว่าขวดไหนไวน์แดง (Red Wine) ขวดไหนไวน์ขาว (White Wine) หรือขวดไหนไวน์โรเซ่ (Rose Wine) แต่ลึกลงไปแล้วไวน์แต่ละประเภท ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันอย่างไปบ้าง เช่น

1.ไวน์ขาว (White Wine)



บางคนอาจเข้าใจ ว่า ไวน์ขาว (White Wine) ทำมาจากองุ่นเขียวเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วก็สามารถใช้องุ่นแดง หรือองุ่นดำ ในการผลิตไวน์ขาวได้เช่นกัน ปกติ ไวน์ขาวจะมีรสชาติเด่น ๆ ได้แก่ รสเปรี้ยวหวาน สดชื่น หรือครีมมี่ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิตที่ไม่เหมือนกันนั่นเอง


2.ไวน์แดง (Red Wine)





สาเหตุที่ทำให้ไวน์แดง (Red Wine) มีสีแดง เป็นเพราะมีการเติมเปลือกองุ่น, ขั้วองุ่น รวมถึงเมล็ดในการหมัก ซึ่งต่างจากไวน์ขาว (White Wine) นอกจากนี้ ไวน์แดงยังถูกหมักในอุณหภูมิที่สูงกว่า เพื่อที่จะสกัดเอาสีและ ดึงเอาความฝาด, กลิ่น ที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา ทำให้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามระยะเวลาการหมัก

3.ไวน์โรเซ่ (Rose Wine)





ไวน์โรเซ่ จะผลิตขึ้นจากองุ่นแดง องุ่นดำ หรือองุ่นเขียวก็ได้ และในกระบวนการหมัก จะใช้เปลือกองุ่นแดงหรือส่วนอื่นๆ บ่มเพียงช่วงสั้นๆ เพื่อที่จะให้ได้สีชมพูของดอกกุหลาบตามต้องการ นอกจากนี้ยังมีการผลิตที่เป็นการนำไวน์แดง (Red Wine) และไวน์ขาว (White Wine) มาผสม (Blended) เข้าด้วยกัน โดยปกติจะมีรสชาติที่หลากหลาย ตั้งแต่ดราย (Dry) ไปจนถึงหวาน (Sweet)

4.ไวน์หวาน (Dessert Wine)





สำหรับไวน์หวาน ส่วนใหญ่จะนิยมเสิร์ฟเพื่อดื่มคู่กับของหวาน แต่ในบางประเทศอย่าง ประเทศอังกฤษ มักดื่มไวน์ขาวหวาน เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนมื้ออาหารและดื่มไวน์แดงหวาน เพื่อล้างปากหลังมื้ออาหาร โดยไวน์หวาน (Dessert Wine) ยังถูกแยกย่อยออกไปเป็น พอร์ท (Port)หรือเชอร์รี่ (Sherry) แยกย่อยลงไปได้อีกตามกรรมวิธีการผลิต

5.สปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine)


สปาร์คกลิ้งไวน์ จะมีสไตล์ที่ชัดเจน จากรสสมผัสซ่าของฟอง (Bubble) ที่จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติในกระบวนการหมัก หรือถูกเติมเข้าไประหว่างการหมัก ซึ่งชื่อเรียกของสปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine)สามารถแยกย่อยลงไปได้อีก ตามพื้นที่ หรือแหล่งที่ผลิต เช่น ผลิตจากแคว้นชองปาญ ประเทศฝรั่งเศส (France) จะเรียกกว่า แชมเปญ (Champagne) แต่หลายคนมักเข้าใจผิดว่า เรียก สปาร์คกลิ้งไวน์ทั้งหมดว่าแชมเปญ


ประเภทของเบียร์

 
Beer (เบียร์)  เป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ของคนหลาย ๆ ประเทศเลยทีเดียว เราสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ Ale (เอล)Lager (ลาเกอร์) และ Lambic (เบียร์ลัมบิค) ซึ่งเบียร์ทั้งสามชนิดนี้ ถูกแบ่งตามระดับอุณหภูมิ และ Yeast (ยีสต์) ที่ใช้ในการผลิตนั่นเอง...เรามาดูกันเลยว่า Beer (เบียร์) แต่ละประเภท จะแยกย่อยออกเป็นสไตล์อะไรกันได้อีกบ้าง !!?



ชนิดของ “ALE BEER (เบียร์เอล)”

    Ale Beer (เบียร์เอล)      ผลิตโดยใช้อุณหภูมิอยู่ที่ 18- 24 องศาเซลเซียส และหมักแบบ
 Top-Fermenting Yeast (ยีสต์หมักลอยผิว) คือการที่ยีสต์ จะลอยอยู่ที่ผิวหน้าของเบียร์เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการหมัก ความโดดเด่นของเบียร์เอลนั้น อยู่ที่รสชาติค่อนไปทางหวาน, มีสีหลากหลาย ตั้งแต่ทองสว่าง จนถึงสีน้ำตาล โดยแตกต่างกันไปตามเมล็ดข้าวที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิต และแบ่งแยกย่อยลงไปได้อีก ดังนี้

Wheat Beer (วีทเบียร์) 


Wheat Beer (วีทเบียร์) คือ เบียร์ที่โดดเด่นด้วยสีเหลืองสว่าง ให้รสสัมผัสที่สดชื่น เหมาะจะดื่มคู่กับ อาหารทะเล, เนื้อไก่, หมู, สลัด หรือชีสเนื้อนุ่มก็ได้เช่นกัน



India Pale Ale (อินเดียเพลเอล) หรือ IPA (ไอพีเอ)



 จัดเป็นเบียร์ประเภทเล็ก ๆ ของ Pale Ale เบียร์ประเภทนี้มีทั้งสีทองและสีเข้มและมีรส Hops ที่รุนแรงซึ่งทำให้จึงมีรสติดขมที่ปลายลิ้นเวลาเราดื่มเข้าไป มีการจับคู่กับอาหารอเมริกันและอินเดียเนื้อสัตว์ปีกปลาชีส


Stout (สเตาท์)


Stout (สเตาท์) เป็นเบียร์ที่นำ Malt (ข้าวมอลต์) หรือ Barley (ข้าวบาเลย์) มาคั่วก่อนที่จะนำไปหมัก และผสม Hops (ฮอปส์) เพียงเล็กน้อย จึงให้รสชาติที่ค่อนข้างหวาน และให้กลิ่นคล้ายช็อกโกแลต, เมล็ดกาแฟแฟคั่ว หรือข้าวโอ๊ต Stout Beer (เบียร์สเตาท์) จึงเข้าได้ดีกับ เนื้อที่ผ่านการย่าง เช่น บาร์บีคิว, เบอร์เกอร์ รวมถึง ช็อกโกแลต

Fruit Beer (เบียร์ผลไม้)


มักจะมีการเติม Morello Cherry (เชอร์รี่ โมเรลโล) รสเปรี้ยว เข้าไปในการผลิตเพื่อเพิ่มกลิ่น และรสอันเป็นเอกลักษณ์ มักจะให้คาแรคเตอร์เข้มข้นผลไม้ สดใส สดชื่น สามารถดื่มคู่กับ ผลไม้, ช็อกโกแลต, และชีสเนื้อนุ่ม ได้เป็นอย่างดี